ตราโรงเรียนฮอดพิทยาคม

คู่มือครู: การรับมือภาวะวิกฤตทางอารมณ์และสุขภาพจิตนักเรียน

โรงเรียนฮอดพิทยาคม อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

ที่มาความสำคัญ

ภาวะวิกฤตทางอารมณ์และสุขภาพจิตในวัยเรียนเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับนักเรียนทุกคน และส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ พฤติกรรม และการใช้ชีวิตประจำวันของนักเรียน ครูในฐานะผู้ใกล้ชิดนักเรียนจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสังเกตเห็นสัญญาณเตือน ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และประสานการส่งต่อเพื่อให้นักเรียนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

คู่มือนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ครูโรงเรียนฮอดพิทยาคมมีความรู้ความเข้าใจและมีแนวปฏิบัติเบื้องต้นในการรับมือเมื่อนักเรียนประสบภาวะวิกฤตทางอารมณ์หรือสุขภาพจิต โดยมุ่งหวังให้นักเรียนทุกคนได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มศักยภาพในสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่อบอุ่นและปลอดภัย แอปพลิเคชันนี้จะช่วยให้คุณครูเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายผ่านหัวข้อต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้

หัวข้อหลักในคู่มือนี้:

  • ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะวิกฤต: นิยาม สัญญาณเตือน และสาเหตุ
  • บทบาทของครูในการรับมือเบื้องต้น: ขั้นตอนการปฏิบัติ สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
  • กระบวนการช่วยเหลือและส่งต่อ: การแจ้งผู้เกี่ยวข้อง แผนการส่งต่อภายในและภายนอก
  • กรณีศึกษา: ตัวอย่างสถานการณ์และการรับมือ
  • การติดตามดูแลต่อเนื่องและการป้องกัน: สร้างเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียน
  • ข้อมูลติดต่อฉุกเฉิน: หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

บทบาทสำคัญของครูในการช่วยเหลือ (ภาพรวม)

แผนภูมินี้แสดงสัดส่วนโดยประมาณของบทบาทต่างๆ ของครูในการรับมือสถานการณ์

1. ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะวิกฤตทางอารมณ์และสุขภาพจิตในวัยเรียน

ส่วนนี้จะอธิบายถึงความหมายของภาวะวิกฤตทางอารมณ์และปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงสัญญาณเตือนที่ครูควรสังเกต และสาเหตุที่เป็นไปได้ เพื่อให้ครูมีความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้องในการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น

นิยามศัพท์

ภาวะวิกฤตทางอารมณ์ (Emotional Crisis): สภาวะที่บุคคลรู้สึกท่วมท้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้า ความโกรธ จนไม่สามารถจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นได้ด้วยตนเอง และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ

ปัญหาสุขภาพจิต (Mental Health Problems): ภาวะที่ส่งผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ พฤติกรรม และความสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล โรคสมาธิสั้น ภาวะการกินผิดปกติ เป็นต้น

สัญญาณเตือนที่ครูควรสังเกต

  • อารมณ์แปรปรวนง่าย เศร้าซึม หงุดหงิด ก้าวร้าว หรือเฉยเมยผิดปกติ
  • ร้องไห้บ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  • แสดงความรู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ลบ หรือพูดถึงความตาย
  • แยกตัวออกจากเพื่อนและกิจกรรมที่เคยชอบ
  • ผลการเรียนตกต่ำ ขาดสมาธิในการเรียน ไม่สนใจการเรียน
  • การนอนหลับหรือการรับประทานอาหารผิดปกติ (มากไปหรือน้อยไป)
  • ละเลยการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
  • มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้สารเสพติด ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • ขาดเรียนบ่อยครั้ง หรือมาโรงเรียนสายเป็นประจำ
  • ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้
  • ดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลียตลอดเวลา
  • พูดหรือเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการ
  • พูดถึงการทำร้ายตนเองหรือการฆ่าตัวตาย (แม้จะพูดเล่นก็ไม่ควรละเลย)

สาเหตุที่เป็นไปได้ของภาวะวิกฤต

  • ปัญหาครอบครัว (ความขัดแย้ง, การหย่าร้าง, ความรุนแรงในครอบครัว, การสูญเสีย)
  • ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน (การถูกกลั่นแกล้ง, การไม่ได้รับการยอมรับ)
  • ความกดดันด้านการเรียน
  • การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต (ย้ายโรงเรียน, การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก)
  • การถูกล่วงละเมิดทางร่างกายหรือจิตใจ
  • ปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัว
  • การมีโรคประจำตัวหรือภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง
  • ปัจจัยทางชีวภาพ (สารเคมีในสมอง, พันธุกรรม)

2. บทบาทของครูในการรับมือเบื้องต้น

เมื่อครูสังเกตเห็นสัญญาณเตือนหรือนักเรียนมาขอความช่วยเหลือ การตอบสนองเบื้องต้นอย่างถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนนี้จะแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ รวมถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ

ขั้นตอนการดำเนินการเมื่อพบนักเรียนในภาวะวิกฤต:

  1. ตั้งสติและใจเย็น (Keep Calm): การที่ครูมีสติจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ
  2. รับฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening):
    • หาสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวในการพูดคุย
    • ให้เวลานักเรียนอย่างเต็มที่ในการเล่าเรื่องราวของตนเองโดยไม่ขัดจังหวะหรือตัดสิน
    • แสดงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และยอมรับในสิ่งที่นักเรียนรู้สึก
    • ใช้คำพูดที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ เช่น "ครูเข้าใจว่าเรื่องนี้มันยากสำหรับหนูนะ" "ครูพร้อมจะรับฟังเสมอ"
  3. ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น:
    • ความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง: สังเกตคำพูด พฤติกรรม หรือร่องรอย หากมีความเสี่ยงสูง ต้องรีบแจ้งผู้เกี่ยวข้องทันทีและไม่ปล่อยให้นักเรียนอยู่ตามลำพัง
    • ความเสี่ยงต่อการทำร้ายผู้อื่น: หากนักเรียนมีพฤติกรรมก้าวร้าว ต้องดูแลความปลอดภัยของทุกคน
    • ความรุนแรงของปัญหา: ประเมินผลกระทบต่อนักเรียน
  4. ให้การปฐมพยาบาลทางใจ (Psychological First Aid - PFA):
    • สร้างความรู้สึกปลอดภัย
    • ช่วยให้สงบลง (เช่น ชวนหายใจเข้าออกลึกๆ)
    • สร้างความหวัง
    • เชื่อมโยงกับแหล่งช่วยเหลือ
  5. ไม่สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ: หากเรื่องที่นักเรียนเล่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวนักเรียนหรือผู้อื่น ครูจำเป็นต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือ แต่ควรแจ้งให้นักเรียนทราบก่อนว่าจะต้องบอกใครบ้างและเพราะเหตุใด
  6. บันทึกข้อมูล: จดบันทึกข้อเท็จจริงที่สำคัญ (โดยใช้แบบฟอร์มของโรงเรียน)

สิ่งที่ควรทำ (Do's) ✔️

  • รับฟังอย่างใส่ใจและไม่ตัดสิน
  • แสดงความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ
  • ให้ความมั่นใจแก่นักเรียนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
  • ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และทางเลือกที่เป็นไปได้
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือทีมงานในโรงเรียน
  • เคารพความเป็นส่วนตัวของนักเรียน (เท่าที่ไม่ขัดกับความปลอดภัย)
  • ดูแลตนเอง (Self-care) เพื่อให้พร้อมช่วยเหลือผู้อื่น

สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don'ts) ❌

  • เพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนหรือคำขอความช่วยเหลือ
  • ตัดสิน ตำหนิ หรือสั่งสอนนักเรียนในขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต
  • สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับในทุกกรณี
  • พยายามแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง
  • พูดจาเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือทำให้ปัญหานั้นดูเป็นเรื่องเล็กน้อย
  • ให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เชี่ยวชาญ
  • ปล่อยให้นักเรียนที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ตามลำพัง

3. กระบวนการช่วยเหลือและส่งต่อ

การช่วยเหลือนักเรียนในภาวะวิกฤตจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ส่วนนี้จะอธิบายถึงการแจ้งผู้เกี่ยวข้อง การใช้แบบฟอร์มบันทึกเหตุการณ์ และแผนการส่งต่อที่ชัดเจน

3.1 การแจ้งผู้เกี่ยวข้อง

เมื่อครูประเมินแล้วว่านักเรียนต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ควรแจ้งผู้เกี่ยวข้องตามลำดับความเร่งด่วนและความเหมาะสม:

  • ครูที่ปรึกษา/ครูแนะแนว: เป็นบุคคลแรกๆ ที่ควรได้รับทราบข้อมูล
  • ผู้บริหารโรงเรียน: ในกรณีที่เหตุการณ์มีความรุนแรง
  • ผู้ปกครอง: บุคคลสำคัญในการดูแลนักเรียน (ยกเว้นกรณีที่การแจ้งอาจทำให้นักเรียนตกอยู่ในอันตราย)
  • ทีมสหวิชาชีพในโรงเรียน (ถ้ามี): เช่น นักจิตวิทยาโรงเรียน

3.2 แบบฟอร์มบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับสุขภาพจิตของนักเรียน

การบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบมีความสำคัญเพื่อใช้ในการติดตามและวางแผนการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โรงเรียนควรมีแบบฟอร์มมาตรฐานสำหรับบันทึกเหตุการณ์

ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม (PDF)

3.3 แผนการส่งต่อ (Referral Plan)

การส่งต่อภายในโรงเรียน:

ครูแนะแนว/นักจิตวิทยาโรงเรียน: ให้คำปรึกษาเบื้องต้น ประเมินปัญหา วางแผนดูแล ประสานงาน

ห้องพยาบาล: ดูแลปัญหาทางกายที่อาจเกี่ยวข้อง

การส่งต่อภายนอกโรงเรียน:

ในกรณีที่นักเรียนต้องการการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือปัญหามีความซับซ้อน:

  • โรงพยาบาล/สถานบริการสาธารณสุข:
    • กรณีส่งต่อ: เสี่ยงสูงทำร้ายตนเอง/ผู้อื่น, มีอาการทางจิตเวชชัดเจน, ต้องการการวินิจฉัยจากแพทย์
    • หน่วยงาน: แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น, คลินิกสุขภาพจิต
  • ศูนย์ให้คำปรึกษา/หน่วยงานด้านสุขภาพจิต:
    • กรณีส่งต่อ: ต้องการการบำบัดทางจิตใจ, การให้คำปรึกษาเฉพาะทาง
    • หน่วยงาน: สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นฯ, สายด่วนสุขภาพจิต 1323, ศูนย์ช่วยเหลือสังคม OSCC 1300
  • หน่วยงานคุ้มครองเด็ก:
    • กรณีส่งต่อ: นักเรียนถูกทอดทิ้ง, ถูกทำร้าย, ถูกล่วงละเมิด
    • หน่วยงาน: บ้านพักเด็กและครอบครัว, พมจ.

ข้อควรพิจารณาในการส่งต่อ:

  • ความยินยอม (จากนักเรียนและผู้ปกครอง)
  • การรักษาความลับ
  • การประสานงานที่ดี
  • การติดตามผล

กรณีศึกษา (Case Studies)

ส่วนนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาตัวอย่าง เพื่อให้ครูเห็นภาพการนำหลักการในคู่มือนี้ไปปรับใช้ในการช่วยเหลือและรับมือกับนักเรียนที่ประสบภาวะวิกฤตทางอารมณ์และสุขภาพจิตในสถานการณ์ต่างๆ

กรณีศึกษาที่ 1: นักเรียนมีภาวะซึมเศร้าและแยกตัว

สถานการณ์: นักเรียนหญิงชั้น ม.5 (นามสมมติ 'ฟ้าใส') ซึ่งเคยเป็นเด็กร่าเริงและมีผลการเรียนดี เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฟ้าใสดูเศร้าซึม ไม่ค่อยพูดคุยกับเพื่อน ผลการเรียนตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด และมักจะขาดเรียนบ่อยครั้งโดยอ้างว่าไม่สบาย ครูที่ปรึกษาสังเกตเห็นว่าฟ้าใสดูเหนื่อยล้าและไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบ

สัญญาณเตือนที่สังเกตเห็น:

  • อารมณ์เศร้าซึม เฉยเมย
  • แยกตัวออกจากเพื่อน
  • ผลการเรียนตกต่ำ ไม่สนใจการเรียน
  • ขาดเรียนบ่อย
  • ดูเหนื่อยล้า

แนวทางการรับมือของครู:

  1. การเข้าหาและรับฟัง: ครูที่ปรึกษาเรียกฟ้าใสมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวในห้องแนะแนว โดยใช้บรรยากาศที่เป็นมิตรและไม่ตัดสิน รับฟังปัญหาของฟ้าใสอย่างตั้งใจ พบว่าฟ้าใสมีความเครียดจากความคาดหวังของครอบครัวเรื่องผลการเรียน และรู้สึกว่าตนเองไม่เก่งพอ
  2. การประเมินเบื้องต้น: ครูประเมินว่าฟ้าใสมีภาวะซึมเศร้าและมีความเสี่ยงปานกลาง (ยังไม่มีความคิดทำร้ายตนเอง)
  3. การปฐมพยาบาลทางใจ: ครูให้กำลังใจ แสดงความเข้าใจ และช่วยให้ฟ้าใสเห็นคุณค่าในตนเอง ชี้ให้เห็นว่าผลการเรียนไม่ใช่ทุกอย่าง และมีคนพร้อมช่วยเหลือ
  4. การแจ้งผู้เกี่ยวข้อง:
    • แจ้งครูแนะแนวเพื่อร่วมวางแผนการช่วยเหลือ
    • ประสานงานกับผู้ปกครองของฟ้าใสอย่างระมัดระวัง เพื่อแจ้งสถานการณ์และขอความร่วมมือในการดูแล (หลังจากได้รับความยินยอมจากฟ้าใสบางส่วน)
  5. การส่งต่อภายใน: ครูแนะแนวให้คำปรึกษาฟ้าใสอย่างต่อเนื่อง และช่วยประสานเรื่องการเรียนกับครูผู้สอนวิชาต่างๆ เพื่อลดความกดดัน
  6. การติดตามผล: ครูที่ปรึกษาและครูแนะแนวติดตามอาการและความคืบหน้าของฟ้าใสเป็นระยะ พูดคุยให้กำลังใจ และสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน

ข้อคิดสำคัญ: การสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่เนิ่นๆ และการเข้าหาอย่างเข้าใจเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การทำงานร่วมกันระหว่างครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว และผู้ปกครอง จะช่วยให้นักเรียนได้รับการดูแลที่เหมาะสม

กรณีศึกษาที่ 2: นักเรียนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและขู่ทำร้ายเพื่อน

สถานการณ์: นักเรียนชายชั้น ม.2 (นามสมมติ 'ต้นกล้า') มีปากเสียงทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้องอย่างรุนแรงเรื่องการทำงานกลุ่ม และได้ขู่ว่าจะทำร้ายเพื่อนหลังเลิกเรียน ครูผู้สอนวิชาที่อยู่ในเหตุการณ์สังเกตเห็นว่าต้นกล้ามีอารมณ์โกรธจัด หน้าแดงก่ำ และควบคุมตนเองไม่ได้

สัญญาณเตือนที่สังเกตเห็น:

  • อารมณ์โกรธรุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้
  • พฤติกรรมก้าวร้าวทางวาจา (ข่มขู่)
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงทางกาย

แนวทางการรับมือของครู:

  1. การระงับเหตุการณ์เฉพาะหน้า: ครูผู้สอนเข้าไประงับเหตุการณ์ทันที แยกต้นกล้าออกจากเพื่อนคู่กรณี เพื่อป้องกันการปะทะทางร่างกาย พยายามพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่สงบแต่หนักแน่น เพื่อให้ต้นกล้าใจเย็นลง
  2. การประเมินความเสี่ยง: ประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการทำร้ายร่างกาย จึงต้องดูแลความปลอดภัยของนักเรียนทุกคนเป็นอันดับแรก
  3. การแจ้งผู้เกี่ยวข้องทันที:
    • แจ้งครูฝ่ายปกครองและครูแนะแนวให้ทราบเรื่องโดยด่วน
    • หากสถานการณ์รุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องแจ้งผู้บริหาร
  4. การพูดคุยและทำความเข้าใจ: เมื่อต้นกล้าเริ่มสงบลง ครูฝ่ายปกครองและครูแนะแนวเข้ามาพูดคุยเพื่อหาสาเหตุของปัญหา รับฟังทั้งสองฝ่าย และชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
  5. การดำเนินการตามระเบียบ: พิจารณาดำเนินการตามระเบียบของโรงเรียนหากมีการกระทำผิดที่ชัดเจน แต่เน้นการปรับพฤติกรรมและการช่วยเหลือเป็นหลัก
  6. การแจ้งผู้ปกครอง: แจ้งผู้ปกครองของนักเรียนที่เกี่ยวข้องให้ทราบเรื่อง และขอความร่วมมือในการดูแลอบรมนักเรียน
  7. การติดตามและไกล่เกลี่ย: ครูแนะแนวติดตามพฤติกรรมของต้นกล้า และอาจมีการนัดหมายนักเรียนทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยทำความเข้าใจกันอีกครั้ง

ข้อคิดสำคัญ: ในสถานการณ์ที่มีความก้าวร้าว ความปลอดภัยต้องมาก่อน การตอบสนองที่รวดเร็วและเด็ดขาดแต่ยังคงความเข้าใจ จะช่วยควบคุมสถานการณ์และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้

กรณีศึกษาที่ 3: นักเรียนพูดถึงการทำร้ายตนเอง

สถานการณ์: ครูได้รับแจ้งจากเพื่อนนักเรียนว่า 'แก้วตา' (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ม.4 ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียส่วนตัวในทำนองตัดพ้อชีวิต สิ้นหวัง และพูดถึงการไม่อยากมีชีวิตอยู่ เพื่อนๆ เป็นห่วงจึงมาแจ้งครู

สัญญาณเตือนที่สังเกตเห็น:

  • แสดงความรู้สึกสิ้นหวังผ่านการเขียน
  • พูดถึงความตายหรือการไม่อยากมีชีวิตอยู่ (ความเสี่ยงสูง)

แนวทางการรับมือของครู:

  1. ไม่เพิกเฉยและดำเนินการทันที: ครูถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและมีความเสี่ยงสูง
  2. ค้นหานักเรียนและประเมิน: ครูตามหาแก้วตาและพูดคุยในที่ส่วนตัวทันที ประเมินความคิดเรื่องการทำร้ายตนเอง (มีแผนหรือไม่ มีวิธีการหรือไม่)
  3. อยู่เป็นเพื่อนและไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียว: หากประเมินว่ามีความเสี่ยงสูง ครูจะไม่ปล่อยให้แก้วตาอยู่ตามลำพัง
  4. แจ้งผู้เกี่ยวข้องเร่งด่วน:
    • แจ้งครูแนะแนว/นักจิตวิทยาโรงเรียนทันที
    • แจ้งผู้บริหารโรงเรียน
    • ติดต่อผู้ปกครองของแก้วตาโดยเร็วที่สุด เพื่อแจ้งสถานการณ์และขอให้มารับหรือร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด
  5. การส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ: ประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อนำแก้วตาไปพบผู้เชี่ยวชาญ (จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น) เพื่อประเมินและรับการรักษาโดยด่วน
  6. การให้กำลังใจและการสนับสนุน: ครูและโรงเรียนให้กำลังใจแก้วตาและครอบครัว และให้การสนับสนุนด้านการเรียนเมื่อแก้วตากลับมาเรียนได้ตามปกติ
  7. การดูแลเพื่อนนักเรียนที่แจ้งเหตุ: ขอบคุณและให้กำลังใจเพื่อนนักเรียนที่มาแจ้งเหตุ ชี้ให้เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อน

ข้อคิดสำคัญ: ทุกสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายตนเองต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังและเร่งด่วน การประสานงานกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

4. การติดตามและดูแลต่อเนื่อง และ 5. การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียน

การช่วยเหลือนักเรียนไม่ได้สิ้นสุดเพียงการส่งต่อ แต่ยังรวมถึงการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในโรงเรียนเพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะวิกฤต

การติดตามและดูแลต่อเนื่อง

  • บทบาทของครูในการติดตาม: สังเกตพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน, พูดคุยให้กำลังใจ, ช่วยเหลือด้านการเรียน, ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้อง
  • การทำงานร่วมกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญ: เปิดช่องทางสื่อสาร, ให้ข้อมูลคำแนะนำ, ร่วมมือวางแผนดูแล

การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียน

นอกจากการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียนก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง:

สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตที่ดี:

  • ส่งเสริมบรรยากาศที่อบอุ่น ปลอดภัย และเป็นมิตร
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน และนักเรียนด้วยกัน
  • ลดปัจจัยเสี่ยง (การกลั่นแกล้ง, ความรุนแรง)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนในกิจกรรม

จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต:

  • ให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การจัดการความเครียด ทักษะชีวิต
  • จัดกิจกรรมผ่อนคลาย (กีฬา, ดนตรี, ศิลปะ)
  • มีบริการให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย
  • ส่งเสริมการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียน

ภาคผนวก: เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนนี้ได้รวบรวมเบอร์โทรศัพท์ที่จำเป็นไว้เพื่อความสะดวกของคุณครู

สายด่วนสุขภาพจิต: 1323

ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (OSCC): 1300

โรงพยาบาลฮอด: 053-461-095, 053-461-195

สถานีตำรวจภูธรอำเภอฮอด: 053-461-100, 053-461-101, 191

นักจิตวิทยาโรงเรียน/ครูแนะแนวโรงเรียนฮอดพิทยาคม: 086-434-6542